รีวิวหนัง : The SpongeBob Movie: Spong Out of Water 3D
เข้าฉายกันเป็นที่เรียบร้อย ต้อนรับสงกรานต์กันอย่างถ้วนหน้าแล้ว สำหรับหนังอนิเมชั่น ผสมคนแสดงภาคต่ออย่าง The SpongeBob Movie: Spong Out of Water 3D กับเรื่องราวสุดป่วนของเจ้าฟองน้ำตัวเหลือง ที่คนไทยเราน่าจะติดอกติดใจในความกวน และมุกตลกสุดไร้สาระไม่แพ้ฝรั่งกันเลยทีเดียว รีวิวหนังเอเชียเก่าและใหม่
โดยหนังใน ภาคนี้จะเป็นเรื่องราวของหัวขโมย (แอนโตนิโอ้ แบนเดอร์รัส) หวังจะครอบครองหนังสือวิเศษ โดยชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายนั่นได้อยู่ที่บ้านของผองเพื่อน สพันจ์บ็อบ และในที่สุดเขาก็ได้ขโมยมันไปได้ แต่จะมีหรอที่ผองเพื่อนอย่าง แพทริค, มิสเตอร์แครป และ แซลลี่ รวมถึง สพันจ์บ็อบ จะปล่อยให้เขาลอยนวล ว่าแล้วพวกเขาก็ตามมาฟัดกันต่อในโลกมนุษย์จนเป็นเรื่องอย่างที่เห็นกันนั่นแหละ
หนังเป็นผลงานการกำกับของ พอล ทิบบิตต์ ผู้กำกับผู้เคยทำเจ้า สปอนบ๊อบ มาแล้ว แต่เป็นในรูปแบบการ์ตูนทางช่องทีวี โดยงานนี้ถือได้ว่าเป็นการก้าวมาเป็นผู้กำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา และมันก็น่าจะเป็นแนวถนัดที่คุ้นเคยไม่ต่างจากในการ์ตูนทีวีเสียด้วย ซึ่งความพิเศษของเจ้าฟองน้ำตัวเหลืองในภาคนี้คือ จะมีฉากการขึ้นมาบนบกซึ่งเป็นอนิเมชั่น 3 มิติ โดยเป็นครั้งแรกของเจ้าฟองน้ำ ที่จะได้อัพเกรดมาในรูปแบบนี้นั่นเองครับ โดยต้องยอมรับว่าตอนเห็นทีแรกก็ไม่ค่อยชอบใจในรูปแบบตัวละคร 3 มิติของหนังสักเท่าไหร่นัก เพราะมันดึงเอาความคลาสสิค และ น่ารัก จากแบบ 2D ไปมากพอสมควร เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ตัวผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างดี คือ การที่ตัวหนังเลือกใช้ฉากบนบกน้อยกว่าที่คิดไว้ และเน้นฉากใต้น้ำซึ่งเป็นละคร 2D ที่สามารถปล่อยมุกตลก และความกวนได้ดีไม่ต่างจากหนังภาคก่อนเยอะกว่าถึงประมาณ 80% ของเรื่อง
ซึ่งส่วนในด้านของตัวหนัง ถึงแม้จะมีเทคนิคแพรวพราวต่างๆเข้ามาช่วยเสริมสร้างให้ดูมีอะไรแปลกใหม่ แต่ยังต้องยอมรับว่าสิ่งที่ยังคงทำให้ผมชอบ สปอนบ๊อบ ทั้งในรูปแบบหนัง และ การ์ตูน คงหนีไม่พ้นการที่ตัวหนังมันมีระดับมุกความกวนที่ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ และการตัดต่อ ลูกเล่น อันรวดเร็วของมัน ซึ่งในข้อนี้อาจจะยังน่าเสียดายไปนิดตรงที่ว่า ในภาค Spong Out of Water ยังไม่สามารถเติมเต็มในส่วนของความเป็นมุกตลกสำหรับผู้ใหญ่ได้อย่างดีนัก แต่กลับไปเทใจให้มุกตลกน่ารัก และ เจ็บตัวแบบเด็กๆเสียมากกว่า เช่นกันกับในฉากแอ็คชั่นช่วงท้ายตอนบนบกแล้วด้วย
จนท้ายสุดแล้วก็แน่นอนว่าตัวหนังก็เหมือนจะเลือกทางเดินให้หนังภาคนี้เป็นภาคขายเด็กแบบสุดโต่ง ด้วยการปิดท้ายด้วยข้อคิดสอนใจตามสไตล์ ไม่ต่างจากการ์ตูนทีวี จนทำให้รู้สึกว่า ณ จุดนี้ ตัวหนังน่าจะเหมาะมากทีเดียวสำหรับครอบครัวที่ต้องการหาความสนุกสนานที่เป็นกันเอง และ ไร้พิษภัยอย่างไม่มีข้อสงสัย
แต่ว่าถ้าหากคุณเป็นคนที่มีอายุเกินกว่า 18 ปีขึ้นไปแล้ว ก็อาจจะพบว่าความสนุกในวัยเด็ก กับมุกตลกที่เคยหัวเราะร่าแบบที่ในหนังเรื่องนี้พยายามดึงความทรงจำเหล่านั้นกลับมา มันอาจจะค่อนข้างเลือนลาง จนทำให้เราไม่ได้รู้สึกสนุกกับหนังไปมากพอสมควร (พูดแบบนี้แล้วเหมือนไม่อยากโตกันเลยทีเดียว)
Comments
Post a Comment