รีวิวหนัง : Finding Dory (2016) ผจญภัยดอรี่ขี้ลืม

อารมณ์ตอนดู Finding Dory นี่เหมือนกับดู The Dark Knight หรือ Star Trek เลยครับ คือมันเดินเรื่องแบบห้อตะบึงควบไปข้างหน้าชนิดที่แทบจะไม่มีนาทีให้หยุดหายใจกันเลย รีวิวหนังเอเชียเก่าและใหม่

ถือเป็นภาคต่อที่ทำออกมาได้น่ารักครับ ดูสนุก เพลิดเพลิน ภาพสวย ฮา และเต็มไปด้วยแง่คิด แม้ด้วยจังหวะต่างๆ แล้วผมอาจจะยังชอบ Finding Nemo มากกว่านิดนึง (แต่ก็แค่นิดเดียวครับ) แต่ยังไง Dory นี่ถือเป็นการ์ตูนที่คุ้มค่าแก่การดูเลยล่ะ

ภาคนี้เราจะได้รู้จักดอรี่มากขึ้น รู้ว่าเธอพลัดหลงกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก และด้วยความที่เธอเป็นปลาขี้ลืม เธอก็เลยลืมเรื่องนี้ไปนานเลยครับ พอนึกขึ้นได้เธอก็รีบเดินทางไปตามหาพ่อแม่ทันที โดยมีมาร์ลินกับนีโม่คอยช่วยอยู่ใกล้ๆ

อย่างที่บอกครับ ภาคนี้มันห้อตะบึงใส่เกียร์ 5 ผสมวอร์ฟสปีดเข้าไปอีก เดินเรื่องเร็ว เรื่องคืบเร็วจนอาจทำให้รู้สึกว่าการตามหาพ่อแม่ของดอรี่ดูจะง่ายไปนิด แต่หนังก็ใส่โจทย์มาให้ดอรี่กับพรรคพวกแก้อยู่ตลอดครับ มันเลยมีอะไรให้ติดตามตลอด (อยากรู้ว่าพวกปลาน้อยจะแก้โจทย์ที่เจอยังไง)

ส่วนความฮาก็มาเต็มครับ มีอะไรให้ขำได้เรื่อยๆ ตัวละครใหม่อย่าง แฮงค์ ปลาหมึกจอมกวนก็เพิ่มความสนุกและความฮาให้หนังได้ค่อนข้างเยอะ ในขณะที่บทของมาร์ลินและนีโม่ก็ถือว่ากลางๆ ครับ คือบทไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ยังถือว่ามีบทบาทอยู่พอสมควร

การผจญภัยในหนังก็สุดโคตรจะโม้เลยครับ แต่เป็นการโม้ที่มันส์และสนุกมาก คือเราพร้อมจะลืมเหตุผลทั้งหลายไปจนหมดน่ะครับ เนื่องจากตรงหน้ามันเสิร์ฟความสนุกให้เราได้ลิ้มตลอดๆ Andrew Stanton กลับมากำกับหนังเรื่องนี้ต่อจากภาคแรก ก็ถือว่าเขาทำได้ดีล่ะครับ

ผมชอบการออกแบบดอรี่ตอนเด็กนะ คือเป็นลูกปลาที่น่ารักมากๆ บุคลิกทุกอย่างก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู แล้วพอเธอมาเจอเรื่องเศร้าเราก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าตาม อันนี้อาจเพราะผมมีลูกสาวด้วยน่ะครับ เลยออกจะซึ้งกับฉากที่พ่อแม่ของดอรี่รักลูกมากๆ แล้วก็ตื้นตันยามพ่อแม่ทำท่าดีใจเมื่อเห็นลูกของตนทำอะไรสักอย่างหนึ่งสำเร็จ

สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ความสำเร็จของลูกแม้จะเป็นเรื่องเล็กขนาดไหนก็เถอะ มันจะไม่เคยเล็กในใจของพ่อแม่เลยครับ มันแทบจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับหมื่นล้านชนิดที่อยากปิดซอยเลี้ยงทุกบ้านแล้วจัดงานฉลองความยินดีเลยก็ว่าได้

ผมชอบที่ภาคนี้หนังดันดอรี่ให้ดูเด่นขึ้นมาได้ ซึ่งคาแรคเตอร์ธอน่ะเด่นตั้งแต่ภาคแรกแล้วล่ะครับ แต่ผมดีใจที่ทีมงานสามารถเอาประเด็นความจำสั้น-เสื่อมของเธอมาเป็นแรงหนุนให้เธอดูเด่นขึ้น เพราะปกติการที่ความจำเสื่อมมันน่าจะเป็นข้อเสีย แต่มันก็มีด้านดีให้เราเก็บไปใช้ไม่น้อย

บางทีการลืมก็ช่วยให้เราเริ่มอะไรใหม่ได้ง่ายขึ้น ฟื้นตัวจากเรื่องที่จำแล้วเจ็บได้เร็วขึ้น หรือยามเจอปัญหา การที่ดอรี่จำเมื่อกี้ (ตอนเจอปัญหา) ไม่ได้อาจเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้เธอมีโอกาสได้โฟกัสกับการหาทางออก ณ ปัจจุบัน ซึ่งจะต่างกับมาร์ลินหรือตัวละครอื่นๆ ที่มักโดนอดีตขึ้นขี่หลัง ทำให้ไม่กล้าทำอะไร หรือตัดสินใจอะไรบนพื้นของความกลัว มากกว่าบนพื้นของความจริง

“ถ้าเป็นดอรี่จะทำยังไง” คนคิดวลีนี้ขึ้นมานับว่าแน่จริงครับ มองดอรี่ได้ลึกซึ้ง และจับจุดที่เหมือนจะเป็นจุดอ่อนของเธอ พลิกมานำเป็นจุดแข็ง จนทำให้หนังภาคนี้ออกมาสนุกและมีสาระน่าคิดหลายอย่าง… ผมว่าประโยคนี้เราเอาไปใช้นำทางชีวิตได้เลยนะ

สรุปว่าหนังดีน่าดูครับ ดูแล้วมีความสุข สนุก ฮา และถือเป็นการจบเรื่องราวได้ดี (จริงๆ จบแค่ภาคนี้ก็พอครับ ไม่ต้องสร้างต่อแล้ว มันพอเหมาะพอดีแล้ว)

คะแนนความชอบ 8/10

Comments

Popular posts from this blog

รีวิวหนัง :The Boy the Mole the Fox and the Horse (2022)

รีวิวหนัง Frozen2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

รีวิวหนัง:Marcel the Shell with Shoes On (2021)